การขยายตัวของอุตสาหกรรมเวชศาสตร์ความงาม (Aesthetics Beauty Industry) ย่อมมาพร้อมกับปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรวมไปถึงบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้แล้วในคลินิก ขยะเหล่านี้ไม่เพียงสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังต้องการวิธีการจัดการที่ยั่งยืนกว่าการรีไซเคิลทั่วไป
วิกฤตการณ์ที่เกิดพร้อมกัน: เมื่อขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ล้นโลก
ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่แค่ปริมาณขยะ แต่คือ “การจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ” ทำให้ขยะที่สามารถรีไซเคิลได้จำนวนมากต้องไปสิ้นสุดที่หลุมฝังกลบ ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างมลพิษต่อดิน น้ำ แต่ยังส่งผลต่อทุกชีวิตบนโลกนี้ ก่อนที่เราจะมองไปที่ขยะในวงการความงาม เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาใหญ่สองด้านที่เชื่อมโยงกันก่อน
อุตสาหกรรมเวชศาสตร์ความงามเปรียบเหมือน “ภาพสะท้อน” ของวิกฤตทั้งสองนี้ ที่เราสามารถเรียกขยะเหล่านี้ว่า “ขยะจากหัตถการความงาม” (Aesthetics Waste) ซึ่งรวมถึง:
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น แค่หัว Ultherapy Transducer ที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจของเราในประเทศไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สามารถเรียงต่อกันได้สูงเทียบเท่ากับหอไอเฟลถึง 12 หอ นี่คือหลักฐานที่ย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการขยะเหล่านี้อย่างมีความรับผิดชอบ
ท่ามกลางวิกฤตนี้ โลกได้เริ่มให้ความสนใจกับแนวคิด “Zero Waste to Landfill” ซึ่งไม่ได้หมายถึงการไม่สร้างขยะเพียงอย่างเดียว แต่คือการจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีเป้าหมายลดขยะที่ส่งไปยังหลุมฝังกลบให้ใกล้เคียงศูนย์ ผ่านกระบวนการต่างๆ ตั้งแต่การลดการใช้ (Reduce), การใช้ซ้ำ (Reuse), การรีไซเคิล (Recycle) ไปจนถึงการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าใหม่ (Upcycle) ซึ่งหลักการนี้ได้กลายเป็นมาตรฐานที่องค์กรชั้นนำทั่วโลกยึดถือในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ
สำหรับประเทศไทย สถานการณ์ Zero Waste ยังคงเผชิญความท้าทาย เนื่องจากการเกิดขยะมูลฝอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ประเทศไทยมีปริมาณขยะรวมสูงถึง 27.2 ล้านตัน (Source: PCD) ซึ่งหากจัดการไม่ถูกต้อง ก็มักจะจบลงที่การกองอยู่ตามบ่อขยะชั่วคราวหรือรั่วไหลลงทะเล ด้วยเหตุนี้ ภาครัฐและเอกชนจึงให้ความสำคัญกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และพยายามผลักดันโมเดลการจัดการขยะที่ลดการพึ่งพาหลุมฝังกลบให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ “Zero Waste to Landfill” อย่างชัดเจน ยกตัวอย่าง
แน่นอนว่าการนำหลักการ “Zero Waste to Landfill” มาปรับใช้ให้เกิดขึ้นจริงนั้นมีความท้าทายอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความร่วมมือในระบบที่ซับซ้อน หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนในวงกว้าง แต่ถึงอย่างนั้น เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย เชื่อมั่นว่าการเริ่มต้นลงมือทำในฐานะผู้บุกเบิก คือก้าวที่สำคัญที่สุดในการทำให้วงการเวชศาสตร์ความงามไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง เราจึงได้นำหลักการดังกล่าวมาเป็นแนวทางในการออกแบบโครงการของเรา เพื่อเริ่มต้นสร้างมาตรฐานใหม่ที่มีความยั่งยืนในอนาคต
จากความเชื่อที่ว่าความงามที่แท้จริงต้องดีต่อโลกและสอดคล้องกับแนวคิด “Live a Better Look” เพราะการดูแลโลกคือรากฐานสำคัญของคุณภาพชีวิตที่ดี เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ได้เริ่มนำหลักการ “Zero Waste to Landfill” มาปรับใช้จริง ผ่านโครงการ “Merz Aesthetics Set Zero Aesthetics Waste”
โครงการนี้นำเสนอโมเดล “เก็บกลับ ปรับโฉม ส่งคืนคุณ” ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่ครบวงจรในการจัดการ Aesthetics Waste โดยร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ผู้เชี่ยวชาญ:
โครงการ “Set Zero Aesthetics Waste” คือบทพิสูจน์ว่าหลักการ “Zero Waste to Landfill” สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในอุตสาหกรรมเวชศาสตร์ความงาม และยังเป็นมากกว่ากิจกรรมเพื่อสังคม แต่คือการลงทุนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน เพราะการเลือกเป็นพันธมิตรกับเรา ไม่ใช่แค่การเลือกผลิตภัณฑ์คุณภาพ แต่คือการเลือกร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการและโลกใบนี้ไปพร้อมกัน
ติดตามรายละเอียดโครงการ Merz Aesthetics Set Zero Aesthetics Waste เฟสสอง และอีกหลากหลายมุมมองด้านความยั่งยืนจาก เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ได้ที่นี่ เร็วๆ นี้
Tags: ความยั่งยืน (Sustainability), Zero Waste, การจัดการขยะ (Waste Management), เวชศาสตร์ความงาม (Aesthetics), ปัญหาขยะ, คลินิกความงาม, ESG, ธุรกิจเพื่อความยั่งยืน, Merz Aesthetics, Set Zero Aesthetics Waste
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า